อย่ามัวแต่นั่งอยู่กับบ้านให้เด็กมันถอนหงอกอยู่เลย... เป็นเสียงตะโกนร้องบอกของท่านผู้เฒ่า ที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า มัคคนายก หรือ มักกะทายก (เพี้ยนมาจากคำว่า มัคคทายก) ได้ตะโกนบอกโยมผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจ้างให้ข้าพเจ้าซึ่งตอนนั้นอายุเพียง ๘ ขวบ ถอนเส้นผมที่หงอกบนหัวด้วยเม็ดข้าวเปลือก ๒ เม็ดประกบกัน
เลิก ๆ กูโดนมักกะทายกด่าเข้าแล้ว...เป็นเสียงบอกให้ข้าพเจ้าเลิกงานอันเป็นรายได้ครั้งละ ๕๐ สตังค์ เป็นเงินที่จะต้องรับจ้างเก็บสะสมไว้เพื่อซื้อกางเกงไปโรงเรียน นึกเคืองท่านมักกะทายกที่ขัดผลประโยชน์และขัดใจชาวบ้าน ก็มันเรื่องอะไรเล่าที่จะต้องมาเจ้ากี้เจ้าการกับหัวชาวบ้านเขา เพราะ....เวลาผมหงอกนี่มันคันหัว...ข้าพเจ้ายังไม่ลืมเหตุผลที่ผู้จ้างบอกว่าผมหงอกมันทำให้คันหัว ไม่ลืมอาการที่ผู้หญิงคนนั้นเกาหัวอย่างรำคาญซึ่งต่อมาเมื่อตนเองหัวหงอกตอนอายุ ๔๕ ขึ้น จึงรู้ว่านั่นเป็นการหลอกข้าพเจ้า เพราะแท้จริงแล้วหัวหงอกไม่ได้ทำให้คันหัวแต่อย่างใด แต่ทำให้ อายหัว ต่างหาก อายคนรุ่นเดียวกันที่หัวของเขายังไม่หงอก อายเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ มันจะมองหัวเราแล้วรู้วัยของเราว่าแก่แล้ว ก็เหตุใดเล่าท่านมักกะทายกจึงตะโกนอย่างนั้น (ซึ่งไม่ใช่บ้านเดียว) และไม่ใช่เพียงแต่เตือนผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายก็ถูกเตือน แต่ทุกครั้งที่ถูกเตือน ทุกคนจะพูดว่า....กูถูกมักกะทายกด่าเข้าแล้ว...
สังเกตว่าใครก็ตามที่ถูกท่านด่า อีกไม่กี่วันพระก็จะพากันแต่งกายชุดขาว มีหมอนที่ทำด้วยไม้ พากันมารักษาอุโบสถศีลค้างวัดหนึ่งวันกับหนึ่งคืน และเมื่อท่านมักกะทายกซึ่งมีอายุวัยเกือบ ๘๐ ปี มองเห็นลูกหลานนั้น ๆ มาค้างวัด กริยาและสายตาของท่านก็จะเปล่งประกายฉายแววยินดี แล้วพยักหน้าไปยังผู้นั้น ผู้นั้นคือผู้ที่พูดว่ากูถูกท่านมักกะทายกด่า พร้อมกับคำพูดเบา ๆ ว่า....? ..ดี...ดี
ทำไมหนอคนพวกนี้จึงเชื่อท่านมักกะทายกเหลือเกิน ไม่เถียง ยอมทำตามอย่างว่าง่ายเหมือนลูกหลานซึ่งอยู่ในโอวาท ! ความจริงก็คือท่านมักกะทายกเป็นผู้ที่ดำรงในศีลธรรม ทำบุญสนทานอะไรท่านก็ทำก่อน ไหว้พระ รับศีล ค้างวัด จัดการดูแลอุบาสกอุบาสิกาที่ไปรักษาศีลเหมือนพ่อแม่ดูแลลูก ๆ ตั้งวงสนทนาธรรมในยามว่างโดยปรารภหัวข้อธรรม บาทีก็โต้ข้อธรรมกับพระสงฆ์ในเวลากลางคืนอย่างถึงพริกถึงขิง บางครั้งพระแพ้ก็รีบกลับไปค้นหนังสือเพื่อกลับมาโต้กับมักกะทายกในเรื่องธรรมะและแนวปฏิบัติ จัดนิมนต์พระเทศน์จากต่างวัดจนถึงขึ้นเรือไปกรุงเทพฯ (จากบ้านแพน อยุธยา สู่กรุงเทพฯ) ไม่มีอะไรที่ท่านมักกะทายกประพฤติผิดจากทำนองคลองธรรม จึงรู้ในภายหลังว่า...ท่านมักกะทายกห่วงลูกหลานบ้านท่านว่ามัวแต่หลงผัวหลงเมีย หลงเงินทอง หลงห่วงลูกหลาน ตายไปแล้วจะไปตกนรกหมกไหม้ หรือ เวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นจิ้งจกคอยดูลูกหลานดื้อด้าน เป็นตุ๊กแกคอยทักลูกหลานเมื่อยามทำผิดด้วยคำว่า...แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ะ ..อั้นแน่...การวางมือทางโลกวันพระละหนึ่งครั้ง จึงเป็นเรื่องของการทำตนให้พ้นจากห่วงหาอาวรณ์ และ ห่วงหาอาลัยสร้างอิสรภาพในวัฏฏสงสารให้เกิดขึ้น ทำให้ลูกหลานหมดความกังวลห่วงใยในภาพชาติของผู้เป็นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
อะไรกันหนอทำให้ท่านมักกะทายกพูดกะคนที่หัวหงอกว่า....อย่ามัวแต่นั่งอยู่กับบ้านให้เด็กมันถอนหงอกอยู่เลย...นั่นก็เพราะว่าท่านมักกะทายกเข้าใจซึ้งถึงความเป็นจริงที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนว่า....หัวหงอกออกบวช...
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่ออดีตชาติพระองค์เสวยพระชาติเป็นพระราชาทรงพระนามว่า มฆเทวราช ทรงครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมวิธี บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มิทรงประทับเพียงบัลลังก์ในราชวังเท่านั้น ทรงเสด็จประพาสต้น ด้วยทรงทราบว่าตรงที่ไหน ๆ ที่พระราชาประทับก็เป็นบัลลังก์ทั้งนั้น แม้แต่เสด็จย่ำโดยพระบาท ก็เป็นบาทบัลลังก์ ดุจดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยบรมราโชบาย ๓ ประการ คือ เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา
กาลต่อมาพระองค์ได้ตรัสสั่งให้ช่างกัลบก (นายช่างฉลองพระเกศา) ว่ายามใดถ้าเห็นพระเกศาหงอก ขอให้บอกแก่พระองค์ จนวันหนึ่งนายช่างกัลบกได้กราบทูลว่ามีเส้นพระเกศาเส้นหนึ่งหงอกแล้ว ทรงรับสั่งให้ถอนออกมาเพื่อทอดพระเนตร เมื่อเห็นเส้นพระเกศาหงอก ทรงรำพึงกับพระองค์เองว่า ดูก่อนพ่อ ผมหงอกขึ้นบนศีรษะของพ่อ ส่อว่าเป็นคนชราแล้ว แลกามารมณ์ที่เป็นของมนุษย์พ่อก็ได้บริโภคแล้ว จะมัวหลงติดไปไย พ่อจงแสวงหาความเป็นทิพย์เถิด บัดนี้เป็นสมัยที่จะต้องถึงเวลาสละวางด้วยการออกบวช แล้วทรงรับสั่งให้ประชุมพระราชวงศ์ เสวกามาตย์ราชมนตรี ปุโรหิตาจารย์ ทรงประกาศสละราชสมบัติแก่ผู้ที่มหาสมาคมยอมรับให้ดำรงความเป็นกษัตริย์ สืบไป แล้วพระองค์ก็เสด็จออกผนวช
ท่านมักกะทายกท่านได้ปฏิบัติตามนี้ทุกประการ พร้อมกับกล่าวเตือนญาติโยมที่ทำบุญในวัดเดียวกับท่านให้เห็นเทวทูตคือหัวหงอกว่าเป็นเครื่องเตือนตนให้มุ่งในการบุญกุศลอย่าหมกมุ่นกังวลในกามคุณ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จนพาให้จิตวนเวียนอยู่ใยวัฏฏะแห่งกิเลส คำเตือนของท่านมักกะทายกยังก้องในหู เตือนให้ปฏิบัติในหลายเรื่องที่ต้องสละ ละวาง ตามวันตามวัย ซึ่งได้ทำแล้วและประสบความเจริญคือความสุข ยังห่วงแต่ญาติโยมบางคนที่หัวหงอกยังไม่รู้จักความเปลี่ยนแปลง ยังหลงอยู่ เด็ก ๆ มันถอนหงอกเอา น่าอับอายจริง...!!!