
พระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
*****
วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยสุขใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรู่ว่าวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จกลับจากโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเสด็จกลับไปประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาร พระราชวังดุสิต ที่โรงพยาบาลศิริราชอัดแน่นไปด้วยประชาชน วันนี้โทรทัศน์ถูกเฝ้าหน้าจออย่างใจจดจ่อ ประชาชนอยากเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยากรู้พระอาการของพระองค์ แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง...
ภาพที่ปรากฏทางโทรทัศน์ ถ่ายทอดสดภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับบนรถพระเก้าอี้ขับเคลื่อน ฉลองพระองค์สีชมพู ส่องให้เห็นพระพักตร์สีชมพู ทรงแย้มพระโอฐ โบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนที่เฝ้าพระอาการและส่งเสด็จกลับทั้งโลก (ผ่านโทรทัศน์) เสียงถวายชัยมงคล...ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ๆๆ ...ดังกระหึ่ม...รอยยิ้ม น้ำตา ซึ่งปกติจะมาพร้อมกันได้ยาก กลับปรากฏให้เห็น และที่ไม่เห็นคือปวงชนชาวไทยที่อยู่ที่บ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ คนที่อยู่หน้าจอโทรทัศน์ประนมมือโดยไม่รู้สึกตัว น้ำตาไหลพรากด้วยความปีติที่เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โบกพระหัตถ์ แย้มพระโอฐ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย
ข่าวทางโทรทัศน์ทุกช่องที่รายงาน เป็นข่าวเดียวที่ปวงชนชาวไทยดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เบื่อหน่าย พระบรมฉายาลักษณ์ที่หนังสือพิมพ์พิมพ์ออกมาในวันรุ่งขึ้นถูกตัดเก็บ โดยปกติทุกคนจะซื้อหนังสือพิมพ์ ๑ ๒ ฉบับ แต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ บางคนซื้อทุกฉบับเท่าที่สามารถจะหาซื้อได้ เพื่อเก็บพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ด้วยความจงรักภักดี นับเป็นวันที่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับจำหน่ายดีที่สุดของปี
บอกกับญาติโยมที่นั่งฟังบรรยายธรรมว่า... วันนี้อาตมภาพไม่อยากบรรยายธรรมเลย ไม่มีสมาธิและจิตใจที่จะบรรยายธรรม อยากกลับวัด อยากดูข่าวทางโทรทัศน์ ญาติโยมทั้งหลายเขาก็พูดว่าพวกเขาเองก็ไม่มีจิตใจที่จะฟังเช่นเดียวกัน เมื่อจิตใจเราตรงกันเช่นนี้จึงยกเลิกการบรรยายธรรม
ได้กลับวัดนั่งเฝ้าจอโทรทัศน์ เห็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว น้ำตาแห่งความอิ่มใจไหลโดยไม่รู้ตัว และซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับภาพที่ปรากฏทางโทรทัศน์ เป็นการหลั่งน้ำตาที่ทุกคนสมัครใจ เป็นน้ำตาแห่งความสุข เป็นความสุขที่เอิบอิ่ม ยิ่งเมื่อ...
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากรถพระเก้าอี้ขับเคลื่อน เสด็จ ๆ โดยเครื่องประคองพระองค์ โดยมิต้องให้มีแพทย์ถวายการประคอง การเสด็จโดยทรงใช้เครื่องประคองย่อมไม่เป็นที่ต้องการของแพทย์อย่างแน่นอน ก็เหตุใดกันเล่าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระองค์อย่างนั้น นั่น (ขอพระราชทานอภัยโทษที่บังอาจคิด) เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระราชทานแก่ปวงชน
ด้วยทรงทราบว่าประชาชนอยากรู้พระอาการว่าทรงมีพระสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์เพียงใด เพียงเฉพาะการแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง ยังไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้เสด็จลงจากรถพระเก้าอี้ขับเคลื่อน เสด็จ ๆ ให้ประชาชนได้เห็น ตรงนี้นั่นแหละที่น้ำตาแห่งปวงชนชาวไทยไหลหลั่ง เพราะรู้ว่า..ในหลวงเกือบหายดีเป็นปกติแล้ว... ด้วยทรงทราบว่าพระองค์คือดวงใจของประชาชน จึงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณด้วยการเสด็จ ๆ ด้วยเครื่องประคองพระองค์ จิตใจ ณ ขณะนั้นเหมือนได้ยินพระกระแสพระราชดำรัสตรัสว่า... ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราสบายดีแล้ว เห็นไหมเล่า... อาตมภาพได้ยินอย่างนี้จริง ๆ และปวงชนชาวไทยก็คงได้ยินเช่นเดียวกัน น้ำตาแห่งความปีติในพระมหากรุณาธิคุณรินไหลลงมาอีกแล้ว พระองค์รักษาใจพสกนิกรของพระองค์ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้...
อ่าองค์พระราชา
ขัตติยะมหิดล
ธ ทรงชาญฉลาด
จารีต ธ ดำรง
เป็นยอดอุบาสก
ประชา รัฐ สวัสดี
เลิศสุดอุตสาหะ
แดนดินถิ่นกันดาร
ทุกข์เข็ญเป็นเย็นฉ่ำ
ราโชบายดั่งสายชล
ประทานรักประจักษ์จิต
ทุกผู้จึงอยู่เย็น
พระดำรัสตรัสทุกครั้ง
ยึดมั่นเป็นครรลอง
อ่าองค์พระทรงศักดิ์
ได้พึ่งซึ่งบุญญา
กระพุ่มมือคือดวงใจ
เป็นข้าฝ่าธุลี
อำนาจพระไตรรัตน์
บันดาลองค์พระทรงชัย |
พระนามาภูมิพล
บรมราชจักรีวงศ์
รัฐศาสตร์อย่างสูงส่ง
มิทรงละประเพณี
ยอยกศาสน์พระชินศรี
ธรรมวิธีสิบประการ
วิริยะเสริมประสาน
ธ นำพาฝ่ายากจน
พระทัยล้ำการุณย์ล้น
บันดาลผลพ้นล้ำเค็ญ
ไทยทั่วทิศพินิจเห็น
พ่อหลวงเป็นเช่นโพธิ์ทอง
ขุมพลังคลังสมอง
ปฏิบัติพัฒนา
เป็นที่รักไทยทั่วหล้า
ผ่านมากว่าหกสิบปี
แห่งลูกไทยผู้น้อยนี้
ละอองบาททุกชาติไป
โปรดกำจัดสรรพภัย
ชนม์พรรษากว่าร้อยเทอญ.
พระราชวิจิตรปฏิภาณ |