สตรีที่มีนามว่า แม่
การที่สตรีสักคนหนึ่งจะก้าวสู่สถานภาพที่ได้นามว่าแม่นั้นมิใช่เรื่องง่ายเลยลำพังเพียงการมีลูกแล้วก็ได้นามว่าแม่นั้นดูเป็นเรื่องไม่ยาก่การที่
จะเป็นแม่คุณภาพนับว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
อันสตรีที่ได้นามว่า แม่ นั้นมิใช่แม่เดียว แต่ต้องครองและรักษาสถานภาพความเป็นแม่ถึง ๖ แม่ ด้วยกัน คือ
แม่เรือน แม่แรง แม่ครัว แม่ค้า แม่พระ แม่พิมพ์
แม่เรือน เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้ว สตรีต้องทำหน้าที่แม่เรือน ได้แก่ เรือนสาม คือเรือนผม เรือนร่าง และ เรือนชาน เรือนสามนี้ มีข้อปฏิบัติย่อ ๆ คือ เรือนผมให้หมั่นสะสาง เรือนร่างแต่งให้สะสวย เรือนชานบริหารให้สะอาด ถ้าสตรีคนใดแต่งงานแล้วมิได้บริหารเรือนสามให้ดี สามีทั้งเบื่อทั้งบ่น ผลร้ายที่ตามมาก็คือการมีภรรยาน้อย หรือการหย่าร้าง จึงต้องถือคติ สำหรับการบริหารเรือนผม เรือนร่างอย่างง่าย ๆ ว่า กลางคืนงามอย่างพระจันทร์ กลางวันเฉิดฉันอย่างพระอาทิตย์ จะพิชิตใจสามี แล้วผู้หญิงไทยสักกี่คนที่ยึดถือคำโบราณ ส่วนใหญ่ผู้หญิงไทยมักจะ ลืมเรือน และลมเลือน จึงพบสภาพ กลางวันแต่งตัวเป็นนางฟ้า ส่วนกลางคืนทำตัวเหมือนปอมผีฟ้า การแต่งเรือนสามจึงเป็น เสน่หา"แม่แรง เมื่อแต่งงานแล้วสตรีต้องเป็นแม่แรงของสามี คือเป็นแรงใจทั้ง แรงจูงใจ และแรงบันดาลใจ แรงใจนั้นย่อมเกิดขึ้นได้เพราะ น้ำสี่ โบราณจึงพูดว่า เรือนสาม น้ำสี่ อันน้ำสี่นี้มีคำประพันธ์ที่ท่านสอนไว้แต่โบราณว่า
น้ำภักดิ์ จงรัก สัตย์ซื่อ
น้ำแรง ร่วมมือ ทำกิจ
น้ำคำ ฉ่ำหวาน สมานมิตร
น้ำจิต เมตตา อารี
สตรีใดที่หล่อเลี้ยงสามีด้วยน้ำ ๔ ประการ สามีก็ย่อมชื่นใจ ชื่นบาน มีแรงกายแรงใจที่จะทำงานเลี้ยงครอบครัวให้เจริญก้าวหน้า ดั่งต้นไม้ที่ดูดน้ำใต้พื้นดิน และอาบกินน้ำฝนจากฟากฟ้า
แม่ครัว สตรีที่เมื่อแต่งงานแล้ว ต้องมีฝีมือในการปรุงอาหารเพื่อให้ ลูกกินแล้วสุขภาพดี สามีกินแล้วอร่อย คือการปรุงอาหารนั้นต้องคำนึงนึกถึงคนสองวัย สามีกินแล้วเกิดเสน่หา ลูกกินแล้วเป็นยาบำรุงร่างกาย เรียกตามคำโบราณว่า
เสน่ห์ปลายจวัก
แม่ค้า สตรีที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ต้องมิให้สามีทำมาหากินแต่ลำพังคนเดียว มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะหาเงินทองเข้ามาหล่อเลี้ยงครอบครัว เสริมความมั่นคงมั่งคั่งได้ สตรีผู้นั้นจะไม่งอมืองอเท้า เหมือนที่โบราณสั่งสอนสืบ ๆ กันมาว่า
มีวัวมีควายใช้ให้แหลก มีเมียมีผัวตีหัวให้แตก แขกมาอย่ารับแขก
ในความหมายคือ มือเท้าเหมือนวัวควายอย่าถนอมไว้โดยมิใช้งานต้องใช้ให้มันแหลก เป็นเมียเป็นผัวตีหัวให้แตก ก็คือเมื่อเกิดปัญหาใดใด ให้เอาหัวคิดมารวมปรึกษาหารือ ตีปัญหาให้แตก ส่วนคำว่า แขกมาอย่ารับแขก หมายถึงเสียงนินทาว่าร้าย คำยุแยงตะแคงแหย่ที่ชาวบ้านนำมาพูดถึงสามีภรรยาของตนในด้านไม่ดี อย่าไปรับฟัง จะเป็นปัญหาให้ทะเลาะวิวาทบาดหมางซึ่งกันและกัน
แม่บ้านที่ดีสมัยก่อนในวันแต่งงานผู้ใหญ่จึงนิยมจัดเครื่องขันหมาก อันประกอบด้วย ถั่วเขียว งา ฟัก แฟง แตง น้ำเต้า มะพร้าว กล้วย อ้อย หินลับมีด หินลับมีดนั้นมิใช่ให้หนักเหมือนหิน แต่แม่บ้านจำเป็นต้องลับมีด ส่วนพืชสวนครัวทั้งหมดให้เจ้าสาวปลูกหลังจากวันแต่งงาน เพื่อนเตรียมตัวเป็นแม่ครัวแม่ครัวและแม่ค้า สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นสำหรับงานครัวและการค้าขาย
เพราะนับแต่วันที่แต่งงานอีกไม่เกิน ๑๐ เดือนก็ต้องมีลูก พืชผักก็ให้ผล ลูกผัวของตนก็มีอาหารกิน เช่น กล้วย ฟักทอง และฟักทองนอกจากเป็นอาหารแล้ว เม็ดฟักทองยังเป็นยาถ่ายพยาธิสำหรับเด็ก กล้วยเป็นอาหารสำหรับเด็ก และเป็นของหวานประจำครอบครัว การปลูกนั้นก็อาศัยน้ำล้างจานหลังครัว พื้นดินและตัวบ้านแค่นี้ก็พออยู่พอกิน เหลือจากกินภายในครอบครัวก็ทำการ แจก จ่าย ขาย เงินทองก็ได้น้ำใจก็ดี นี่จึงเป็นการวางรากฐานชีวิตที่ดีของคนโบราณให้สตรีที่เป็นแม่บ้านได้มีอาชีพและประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
แม่พระ สตรีเมื่อแต่งงานแล้วต้องเป็นแม่พระของลูก คือ แม่พระธรณี โอบอุ้มลูก,แม่คงคาเป็นที่เย็นใจของลูก,แม่พระพาย ใช้ลมปากทั้ง เป่า ปลอบ ปลุก, พระเมตตามหานิยม คือเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อลูกเข้าหาได้ตลอดเวลา อีกทั้งต้องหมั่นไหว้พระสวดมนต์เพื่อให้ลูกนับถือบูชา บทสวดมนต์นั้นก็เป็นคาถาสำหรับขจัดปัดเป่าทุกข์ โรคภัย ผีสางอันตรายแก่ลูก อีกประการหนึ่งเป็นการวางรากฐานทางศีลธรรมและศาสนาให้แก่ลูก ๆ
แม่พิมพ์ สตรีที่มีสถานภาพเป็นแม่ ต้องสอนกิริยามารยาท คำพูดคำจา รวมทั้งภาษาหนังสือขั้นพื้นฐานแก่ลูกได้
สตรีทั้งหลายต้องสำนึกและสำเหนียกว่าตัวเองเป็นหญิง ต้องเตรียมและทำตัวอย่าให้มัวหมอง โดยครองตัวตลอดชีวิต ดังนี้
สตรีต้องเคร่งครัด สตรีต้องปฏิบัติธรรมะ
สตรีต้องไม่ละธรรมเนียม สตรีต้องรู้จักอายเหนียม
สตรีต้องเจียมเนื้อเจียมตัว สตรีต้องไม่ก้าวร้าว
สตรีต้องไม่ห้าวเกินหน้าผัว สตรีต้องมีฝีมือในการครัว
สตรีต้องทำตัวให้คนเขาเมตตา เป็นสตรีพัฒนาฝืมือ .
พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ)
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม